2011年9月13日星期二

การทำงานระดับองค์กรสังคม



การทำงานระดับองค์กรสังคมในการต่อสู้ที่จะได้รับและให้การพัฒนาจากต้นถึงระดับสูง จำนวนของแรงงานอุตสาหกรรมในประเทศจีนเก่า แต่มีขนาดเล็กมันหมายถึงจีนที่ทันสมัยที่สุดของกองกำลังการผลิตเป็นระดับชั้นนำของการปฏิวัติจีน ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่าระดับการทำงานของจีนมีสามข้อได้เปรียบที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจังทั้งสามชนิดของการกดขี่ (การกดขี่ของลัทธิจักรวรรดินิยม, การกดขี่ของชนชั้นนายทุนที่กำลังเกี่ยวกับระบบศักดินาของการกดขี่), และดังนั้นการปฏิวัติมากที่สุดเด็ดเดี่ยวและรุนแรงมากที่สุดที่สองเป็น ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มต้นการปฏิวัติและทำให้มีสติมากที่สุดที่สามและเกษตรกรมีการเชื่อมโยงธรรมชาติให้กับสถานประกอบการของพันธมิตรชาวนาคนงานอย่างใกล้ชิด แต่ระยะเวลาในการป้อนสังคมนิยมของจีนที่ทำงานคนชั้นค่อยๆเปิดเผยบางส่วนของลักษณะของพวกเขาก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยต่อต้านจักรวรรดินิยมและศักดินาในความร่วมมือระยะยาวกับชนชั้นนายทุนระดับชาติกับการต่อสู้แต่ละน้อยหรือไม่มีเลยกับชนชั้นนายทุน ประสบการณ์และความตระหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นน้องของแรงงานที่มีการขาดความเข้าใจในระบบทุนนิยมและการต่อสู้เพื่อให้ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมใหม่เป็นสองส่วนใหญ่ของส่วนผสมที่ชาวนาและดังนั้นจึงมีความคิดชาวนามากขึ้นที่สามที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบการผลิตเพื่อว่าแรงงานบางคนได้ สมาคมจิตสำนึกและความตระหนักของกลุ่มเล็กและไม่กี่คนที่มีนิสัย lumpenproletariat ร่วมกับการเรียนที่มีอายุน้อยกว่าอายุความรู้ทางทฤษฎีเป็นปัจจัยที่ยากจนและอื่น ๆ การปฏิวัติสังคมนิยมของจีนและการก่อสร้างทางเศรษฐกิจพรรคการเมืองสำหรับการเรียนการทำงานและความจุขององค์กรทางสังคมและศักยภาพการบริหารจัดการเป็นแบบทดสอบที่ร้ายแรงมาก

แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสังคมของจีนระดับการทำงานเป็นความจุขององค์กรทั้งหมดและความสามารถในการบริหารจัดการยังอยู่ในช่วงที่ต่ำมากของการพัฒนา การปฏิวัติทางวัฒนธรรมในหลักคำสอนทาสทางเศรษฐกิจของลัทธิมาร์ก, อนาธิปไตยและอื่น ๆ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องในการ resorting พรรคความรุนแรงและทีมงานการโฆษณาชวนเชื่อของแรงงาน, ทีมที่ยากจนและประกาศคณะกรรมการการปฏิวัติของผู้แทนของฝูงเร็ว ๆ นี้จะถอนตัวออกจากยู่เหนือที่มีการพิสูจน์จากขั้วลบ นี้

สถานการณ์นี้เป็นเพียงการยุคของการปฏิรูปและการเปิดที่จะเริ่มต้นกับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ในคลื่นของอุตสาหกรรมใหม่ภายใต้ผลกระทบของโครงสร้างการทำงานชั้นเรียนภาษาจีนที่มีการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติของเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยผลิตและการพัฒนาของสังคมมนุษย์ในประวัติศาสตร์ของการกระโดดคุณภาพในคุณสมบัติ มันเครื่องหมายการทำงานร่วมกันของแรงงานมนุษย์จากการทำงานร่วมกันเผ่น จำกัด ให้สังคมทั้งสังคมของการผลิตจากที่ จำกัด ในการก้าวกระโดดทางสังคมเต็มรูปแบบ รูปแบบหลักของการใช้แรงงานมนุษย์ แต่ยังง่ายและเงอะงะตั้งแต่เริ่มต้นจากรูปแบบทางร่างกายจิตใจที่ค่อยๆเปลี่ยน ในขั้นตอนนี้ทั้งหมดที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยคุณสมบัติของสิ่งที่จะถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว คลาสที่ทำงานนอกเหนือไปจากความพยายามที่จะปรับให้เข้ากับมันไม่มีวิธีอื่น ๆ บนมืออื่น ๆ ที่ทำให้จำนวนของยุคทำสมาชิกของสังคมที่ : ความรู้พื้นฐานที่ทันสมัยแรงงาน -- -- การบริหารจัดการทางด้านเทคนิควิศวกรรมทางด้านเทคนิคและแรงงานเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของชั้นนี้และเป็นหัวใจของสังคมที่จะช่วยเพิ่มความจุโดยรวมของระดับองค์กรทางสังคมการทำงานและการจัดการทางสังคมสำหรับสาเหตุสังคมนิยมของจีนได้นำความหวังใหม่


ในการต่อสู้ที่จะได้รับและให้การพัฒนาจากต้นถึงระดับสูง จำนวนของแรงงานอุตสาหกรรมในประเทศจีนเก่า แต่มีขนาดเล็กมันหมายถึงจีนที่ทันสมัยที่สุดของกองกำลังการผลิตเป็นระดับชั้นนำของการปฏิวัติจีน ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่าระดับการทำงานของจีนมีสามข้อได้เปรียบที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจังทั้งสามชนิดของการกดขี่ (การกดขี่ของลัทธิจักรวรรดินิยม, การกดขี่ของชนชั้นนายทุนที่กำลังเกี่ยวกับระบบศักดินาของการกดขี่), และดังนั้นการปฏิวัติมากที่สุดเด็ดเดี่ยวและรุนแรงมากที่สุดที่สองเป็น ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มต้นการปฏิวัติและทำให้มีสติมากที่สุดที่สามและเกษตรกรมีการเชื่อมโยงธรรมชาติให้กับสถานประกอบการของพันธมิตรชาวนาคนงานอย่างใกล้ชิด แต่ระยะเวลาในการป้อนสังคมนิยมของจีนที่ทำงานคนชั้นค่อยๆเปิดเผยบางส่วนของลักษณะของพวกเขาก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยต่อต้านจักรวรรดินิยมและศักดินาในความร่วมมือระยะยาวกับชนชั้นนายทุนระดับชาติกับการต่อสู้แต่ละน้อยหรือไม่มีเลยกับชนชั้นนายทุน ประสบการณ์และความตระหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นน้องของแรงงานที่มีการขาดความเข้าใจในระบบทุนนิยมและการต่อสู้เพื่อให้ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมใหม่เป็นสองส่วนใหญ่ของส่วนผสมที่ชาวนาและดังนั้นจึงมีความคิดชาวนามากขึ้นที่สามที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบการผลิตเพื่อว่าแรงงานบางคนได้ สมาคมจิตสำนึกและความตระหนักของกลุ่มเล็กและไม่กี่คนที่มีนิสัย lumpenproletariat ร่วมกับการเรียนที่มีอายุน้อยกว่าอายุความรู้ทางทฤษฎีเป็นปัจจัยที่ยากจนและอื่น ๆ การปฏิวัติสังคมนิยมของจีนและการก่อสร้างทางเศรษฐกิจพรรคการเมืองสำหรับการเรียนการทำงานและความจุขององค์กรทางสังคมและศักยภาพการบริหารจัดการเป็นแบบทดสอบที่ร้ายแรงมาก


แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสังคมของจีนระดับการทำงานเป็นความจุขององค์กรทั้งหมดและความสามารถในการบริหารจัดการยังอยู่ในช่วงที่ต่ำมากของการพัฒนา การปฏิวัติทางวัฒนธรรมในหลักคำสอนทาสทางเศรษฐกิจของลัทธิมาร์ก, อนาธิปไตยและอื่น ๆ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องในการ resorting พรรคความรุนแรงและทีมงานการโฆษณาชวนเชื่อของแรงงาน, ทีมที่ยากจนและประกาศคณะกรรมการการปฏิวัติของผู้แทนของฝูงเร็ว ๆ นี้จะถอนตัวออกจากยู่เหนือที่มีการพิสูจน์จากขั้วลบ นี้

สถานการณ์นี้เป็นเพียงการยุคของการปฏิรูปและการเปิดที่จะเริ่มต้นกับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ในคลื่นของอุตสาหกรรมใหม่ภายใต้ผลกระทบของโครงสร้างการทำงานชั้นเรียนภาษาจีนที่มีการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติของเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยผลิตและการพัฒนาของสังคมมนุษย์ในประวัติศาสตร์ของการกระโดดคุณภาพในคุณสมบัติ มันเครื่องหมายการทำงานร่วมกันของแรงงานมนุษย์จากการทำงานร่วมกันเผ่น จำกัด ให้สังคมทั้งสังคมของการผลิตจากที่ จำกัด ในการก้าวกระโดดทางสังคมเต็มรูปแบบ รูปแบบหลักของการใช้แรงงานมนุษย์ แต่ยังง่ายและเงอะงะตั้งแต่เริ่มต้นจากรูปแบบทางร่างกายจิตใจที่ค่อยๆเปลี่ยน ในขั้นตอนนี้ทั้งหมดที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยคุณสมบัติของสิ่งที่จะถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว คลาสที่ทำงานนอกเหนือไปจากความพยายามที่จะปรับให้เข้ากับมันไม่มีวิธีอื่น ๆ บนมืออื่น ๆ ที่ทำให้จำนวนของยุคทำสมาชิกของสังคมที่ : ความรู้พื้นฐานที่ทันสมัยแรงงาน -- -- การบริหารจัดการทางด้านเทคนิควิศวกรรมทางด้านเทคนิคและแรงงานเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของชั้นนี้และเป็นหัวใจของสังคมที่จะช่วยเพิ่มความจุโดยรวมของระดับองค์กรทางสังคมการทำงานและการจัดการทางสังคมสำหรับสาเหตุสังคมนิยมของจีนได้นำความหวังใหม่


ปราสาทนครวัด

ปราสาทนครวัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ฝรั่งต่างชาติต่างยอมรับในความสวยงาม เราจะเห็นได้ว่า 5 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกล้วนแต่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา จะมีก็แต่เพียงปราสาทนครวัดและทัชมาฮาลเท่านั้นที่อยู่นอกประเทศทั้งสอง
ปราสาทนครวัด เป็นประสาทศิลาแลงขนาดใหญ่โตมโหฬาร ที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา จัดเป็นปราสาทศิลาขนาดใหญ่ที่ยังคงอยู่ ตระหง่านท้ากาลเวลานานหลายร้อยปี ผู้ที่สร้างนครวัดขึ้นมาเป็นพระองค์แรกคือพระเจ้าสุริยะวรมัน ที่ 2 โดยพระองค์มีพระประสงค์ที่จะยกพระฐานของกษัตริย์กัมพูชาให้เทียบเท่ากับเทพเจ้า ปราสาทนครวัดแห่งนี้จึงเป็นที่สถิตของพระวิษณุ เทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่งตามความเชื่อของชาวกัมพูชา และพระองค์ทรงใช้สถานที่แห่งนี้ในการเผาพระบรมศพของพระองค์
ต่อมาในยุคหลังกษัตริย์กัมพูชาองค์ต่อๆมา ได้ช่วยกันสานต่อเจตนาของบรรพบุรุษ มีการแต่งเติมและสิ่งก่อสร้างไปในแนวทางตามที่บรรพกษัตริย์ ในอดีตได้วางเอาไว้ ทำให้ชาวโลกมีโอกาสได้รับทราบถึงความเฉลียวฉลาดและความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของชาวกัมพูชา
ภายในบริเวณของตัวปราสาทจะรายล้อมไปด้วยอาคารต่างๆมากมาย มีถนนยาวหลายกิโลเมตร มีคูคลอง อ่างเก็บน้ำเอาไว้ใช้ภายในตัวอาคารและทางเดินเชื่อมจากอาคารหนึ่งไปยังอีกหลังหนึ่ง ความสามารถของชาวกัมพูชาใช่ว่าจะด้อยไปกว่าชาติอื่นๆในโลก เพราะมีการจัดสร้างคูคลองเชื่อมต่อกันหลายสายทำให้มองดูเหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ครอบตัวเมืองเอาไว้ ทั้งนี้เพราะในอดีตชีวิตของประชาชนจะอาศัยการเพาะปลูกเป็นหลักในการดำรงชีวิต น้ำจึงเป็นเสมือนปัจจัยหลักสำคัญที่ช่วยให้การเพาะปลูกและการดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยดี
นอกจากความสามารถในการออกแบบตัวอาคารและการเชื่อมโยงคูคลองต่างๆเข้าหากันแล้วนั้น ตัวปราสาทนครวัดก็เป็นโบราณสถานที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะการแกะสลักอันปราณีตของชาวกัมพูชาในอดีต บนศิลาจะเต็มไปด้วยภาพแกะสลักตามความเชื่อในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตของเทวดาและอสูรหรือการประกอบพิธีกรรมต่างๆในอดีต
เมื่อลองย้อนกลับไปดูในอดีต จะพบว่าในยุคหลังต่อมา พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ได้สถาปนาเมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวง มีชื่อว่า ยโสธรปุระ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นยังไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรมากมายนัก แต่ต่อมาภายหลังพระองค์ทรงวางแผนที่จะขุดคูน้ำล้อมรอบพื้นที่ มีการขุดสระเพื่อทำเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการเกษตร และกษัตริย์ในรุ่นหลังๆก็ได้ปฏิบัติตามแนวพระราชดำริ ทำให้ตัวเมืองขยายใหญ่มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดสังเกตุและเป็นที่ที่ทุกคนเข้าเยี่ยมชมจะต้องไปดูกันให้ได้ก็คือ ภาพใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนอาคาร ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "รอยยิ้มแห่งพระนคร"ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าปราสาทวัดจะเหลือไว้แค่ซากปรักหักพัง แต่ก็ยังไว้ซึ่งมนคลัง และมนเสน่ห์ที่ชวนให้คิดถึงความเจริญรุ่งเรืองในครั้งอดีตของสถานที่แห่งนี้อยู่มิรู้ลืม

คนไทยมาจากไหน?

ขณะนี้ไม่มีนักประติศาสตร์ท่านใดสามารถสรุปได้ว่าชนชาติไทยมาจากไหนกันแน่ แต่เท่าที่ค้นคว้ากันมา มีความเชื่อต่าง ๆ กันดังนี้
๑. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ตรงลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงในตอนกลางของประเทศจีนปัจจุบัน แล้วค่อยอพยพมาทางตอนใต้ของจีน จากนั้นก็ลงมาสู่แหลมอินโดจีน ผู้เสนอความคิดนี้เป็นคนแรกก็คือ Terrien de la Couperie เขาเสนอผลงานเรื่อง The Cradle of the Shan Race (2428) คนไทยที่เชื่อตามทฤษฎีนี้มีหลายคน เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลวงวิจิตรวาทการ และรอง ศยามานนท์ เป็นต้น
๒. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณเทือกเขาอัลไต หมอสอนศาสนาชาวอเมริกันเป็นผู้เสนอความคิดนี้ เขาคือ William Clifton Dodd งานเขียนเรื่อง The Tai Race : The Eider Brother of the Chinese (2452) เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง และมีอิทธิพลต่องานของ W.A.R. Wood ในเรื่อง A History of Siam และขุนวิจิตรมาตรา ในเรื่อง “หลักไทย”
๓. เดิมคนไทยอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนบริเวณแคว้นอัสสัมในอินเดีย ผู้ที่เสนอความคิดนี้ก็คือ ArchibaI R. Colguhoun เขาเป็นชาวอังกฤษ เดินทางสำรวจดินแดนตั้งแต่ทางภาคใต้ของจีนจากกวางตุ้งเข้าไปในพม่า จากนั้นเขาก็เขียนหนังสือเรื่อง Chryse (2428) ต่อมาความคิดนี้ได้รับความสนใจนำไปค้นคว้าต่อ คนสำคัญที่นำความคิดนี้ไปขยายต่อก็มีเช่น E.H. Parker เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องน่านเจ้าพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ผู้เขียนพงศาวดารโยนกก็เชื่อว่า คนไทยมาจากทางตอนใต้ของจีน นอกจากนี้ยังมีคนอื่น ๆ เช่น G. Coedes W. Credner W. Eberhard F. Mote ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ขจร สุขพานิช และจิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนทำวิทยานิพนธ์ปริณญาเอกทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะที่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการอพยพของชนชาติไทย เขาคือ H.W. Woodward นักประวัติศาสตร์ผู้นี้เชื่อว่าแนวทางอพยพของคนไทยอาจมาทางลาวและลุ่มแม่น้ำป่าสักลงสู่ภาคกลางของประเทศไทย
๔. คนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่ถิ่นเดิมของคนไทยก็คือบริเวณพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบัน นักวิชาการที่เสนอความคิดนี้ก็คือ PauI Benedict นักภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เขาค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยโดยใช้หลักฐานด้านภาษาศาสตร์ จากการค้นคว้าทำให้เขาเชื่อว่าภาษาไทยเป็นภาษาใหญ่ของชนชาติเอเชีย อยู่ในตระกูลออสตริก หรือออสโตรนีเซียน แยกสาขาเป็นพวกไทย ชวา-มลายู และทิเบต-พม่า ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของคนไทยจึงไม่น่าจะเป็นพวกมองโกล แต่น่าจะเป็นพวกชวา-มลายู ประมาณ ๔,๐๐๐-๓,๕๐๐ ปี การรุกรานของพวกมอญ เขมร จากอินเดีย เข้ามาในแหลมอินโดจีน น่าจะเป็นเหตุทำให้คนไทยขึ้นไปทางใต้ของจีน แต่เมื่อถูกจีนรุกรานก็ต้องถอยร่นไปในเขตแคว้นอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และบริเวณตังเกี๋ยหรือบริเวณเวียดนามเหนือปัจจุบัน นักวิชาการที่สนับสนุนความคิดนี้ก็มี นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้ค้นคว้าโดยอาศัยหลักฐานจากการเปรียบเทียบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหินที่ขุดค้นพบในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี
๕. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเชียก่อน แล้วต่อมาก็อพยพเข้าสู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน ความคิดนี้ค่อนข้างใหม่มาก ผู้เสนอคือ สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ เขาใช้หลักฐานทางด้านการแพทย์ คือการสุ่มตัวอย่างกลุ่มเลือดของคนไทยกับอินโดจีนปัจจุบัน ปรากฏว่ามีความคล้ายคลึงกัน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องความเป็นมาของคนไทยก่อนสมัยประวัติศาสตร์ยังไม่ยุติ แต่เท่าที่เราสามารถยึดถือได้ชั่วคราวก็คือความเชื่อของนักวิชาการที่ได้รับความนิยมในข้อ ๒ และ ๓ นั่นคือคนไทยอพยพจากถิ่นอื่นเข้ามาในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และแนวการอพยพเป็นแนวเหนือลงมาทางใต้ กระจัดกระจายตามบริเวณที่ใกล้เคียงกันทางตอนใต้ของจีน เช่น ตามบริเวณมณฑลเสฉวน ยูนนาน แคว้นอัสสัม ฉาน ตอนเหนือของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เป็นต้นส่วนความเชื่อในข้อ ๔ และ ๕ นับว่าค่อนข้างใหม่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับหรือมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อความเข้าใจของคนไทยในด้านความเป็นมาของตนเอง อย่างไรก็ดี สำหรับความเชื่อในข้อ ๔ กำลังเป็นที่ยอมรับและเป็นที่สนใจมากขึ้นในปัจจุบัน

2011年9月11日星期日

นครวัด


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นครวัด (เขมรអង្គរវត្ត) เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา
ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง
ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี

รูปสลักและงานประติมากรรม



ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัดที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย

มีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยาม ที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจามมีอักษรจารึกไว้ว่า “สยำ กุก” ปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้วน่าจะหมายถึงกองทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก คือกำลังที่มาจากเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสนหรือจาก[สุพรรณบุรี และคำว่า “ โลว” สันนิษฐานว่าเป็นกองทัพจากเมืองละโว้ [1]