2011年9月13日星期二

การทำงานระดับองค์กรสังคม



การทำงานระดับองค์กรสังคมในการต่อสู้ที่จะได้รับและให้การพัฒนาจากต้นถึงระดับสูง จำนวนของแรงงานอุตสาหกรรมในประเทศจีนเก่า แต่มีขนาดเล็กมันหมายถึงจีนที่ทันสมัยที่สุดของกองกำลังการผลิตเป็นระดับชั้นนำของการปฏิวัติจีน ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่าระดับการทำงานของจีนมีสามข้อได้เปรียบที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจังทั้งสามชนิดของการกดขี่ (การกดขี่ของลัทธิจักรวรรดินิยม, การกดขี่ของชนชั้นนายทุนที่กำลังเกี่ยวกับระบบศักดินาของการกดขี่), และดังนั้นการปฏิวัติมากที่สุดเด็ดเดี่ยวและรุนแรงมากที่สุดที่สองเป็น ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มต้นการปฏิวัติและทำให้มีสติมากที่สุดที่สามและเกษตรกรมีการเชื่อมโยงธรรมชาติให้กับสถานประกอบการของพันธมิตรชาวนาคนงานอย่างใกล้ชิด แต่ระยะเวลาในการป้อนสังคมนิยมของจีนที่ทำงานคนชั้นค่อยๆเปิดเผยบางส่วนของลักษณะของพวกเขาก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยต่อต้านจักรวรรดินิยมและศักดินาในความร่วมมือระยะยาวกับชนชั้นนายทุนระดับชาติกับการต่อสู้แต่ละน้อยหรือไม่มีเลยกับชนชั้นนายทุน ประสบการณ์และความตระหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นน้องของแรงงานที่มีการขาดความเข้าใจในระบบทุนนิยมและการต่อสู้เพื่อให้ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมใหม่เป็นสองส่วนใหญ่ของส่วนผสมที่ชาวนาและดังนั้นจึงมีความคิดชาวนามากขึ้นที่สามที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบการผลิตเพื่อว่าแรงงานบางคนได้ สมาคมจิตสำนึกและความตระหนักของกลุ่มเล็กและไม่กี่คนที่มีนิสัย lumpenproletariat ร่วมกับการเรียนที่มีอายุน้อยกว่าอายุความรู้ทางทฤษฎีเป็นปัจจัยที่ยากจนและอื่น ๆ การปฏิวัติสังคมนิยมของจีนและการก่อสร้างทางเศรษฐกิจพรรคการเมืองสำหรับการเรียนการทำงานและความจุขององค์กรทางสังคมและศักยภาพการบริหารจัดการเป็นแบบทดสอบที่ร้ายแรงมาก

แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสังคมของจีนระดับการทำงานเป็นความจุขององค์กรทั้งหมดและความสามารถในการบริหารจัดการยังอยู่ในช่วงที่ต่ำมากของการพัฒนา การปฏิวัติทางวัฒนธรรมในหลักคำสอนทาสทางเศรษฐกิจของลัทธิมาร์ก, อนาธิปไตยและอื่น ๆ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องในการ resorting พรรคความรุนแรงและทีมงานการโฆษณาชวนเชื่อของแรงงาน, ทีมที่ยากจนและประกาศคณะกรรมการการปฏิวัติของผู้แทนของฝูงเร็ว ๆ นี้จะถอนตัวออกจากยู่เหนือที่มีการพิสูจน์จากขั้วลบ นี้

สถานการณ์นี้เป็นเพียงการยุคของการปฏิรูปและการเปิดที่จะเริ่มต้นกับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ในคลื่นของอุตสาหกรรมใหม่ภายใต้ผลกระทบของโครงสร้างการทำงานชั้นเรียนภาษาจีนที่มีการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติของเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยผลิตและการพัฒนาของสังคมมนุษย์ในประวัติศาสตร์ของการกระโดดคุณภาพในคุณสมบัติ มันเครื่องหมายการทำงานร่วมกันของแรงงานมนุษย์จากการทำงานร่วมกันเผ่น จำกัด ให้สังคมทั้งสังคมของการผลิตจากที่ จำกัด ในการก้าวกระโดดทางสังคมเต็มรูปแบบ รูปแบบหลักของการใช้แรงงานมนุษย์ แต่ยังง่ายและเงอะงะตั้งแต่เริ่มต้นจากรูปแบบทางร่างกายจิตใจที่ค่อยๆเปลี่ยน ในขั้นตอนนี้ทั้งหมดที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยคุณสมบัติของสิ่งที่จะถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว คลาสที่ทำงานนอกเหนือไปจากความพยายามที่จะปรับให้เข้ากับมันไม่มีวิธีอื่น ๆ บนมืออื่น ๆ ที่ทำให้จำนวนของยุคทำสมาชิกของสังคมที่ : ความรู้พื้นฐานที่ทันสมัยแรงงาน -- -- การบริหารจัดการทางด้านเทคนิควิศวกรรมทางด้านเทคนิคและแรงงานเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของชั้นนี้และเป็นหัวใจของสังคมที่จะช่วยเพิ่มความจุโดยรวมของระดับองค์กรทางสังคมการทำงานและการจัดการทางสังคมสำหรับสาเหตุสังคมนิยมของจีนได้นำความหวังใหม่


ในการต่อสู้ที่จะได้รับและให้การพัฒนาจากต้นถึงระดับสูง จำนวนของแรงงานอุตสาหกรรมในประเทศจีนเก่า แต่มีขนาดเล็กมันหมายถึงจีนที่ทันสมัยที่สุดของกองกำลังการผลิตเป็นระดับชั้นนำของการปฏิวัติจีน ประธานเหมาเคยกล่าวไว้ว่าระดับการทำงานของจีนมีสามข้อได้เปรียบที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจังทั้งสามชนิดของการกดขี่ (การกดขี่ของลัทธิจักรวรรดินิยม, การกดขี่ของชนชั้นนายทุนที่กำลังเกี่ยวกับระบบศักดินาของการกดขี่), และดังนั้นการปฏิวัติมากที่สุดเด็ดเดี่ยวและรุนแรงมากที่สุดที่สองเป็น ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มต้นการปฏิวัติและทำให้มีสติมากที่สุดที่สามและเกษตรกรมีการเชื่อมโยงธรรมชาติให้กับสถานประกอบการของพันธมิตรชาวนาคนงานอย่างใกล้ชิด แต่ระยะเวลาในการป้อนสังคมนิยมของจีนที่ทำงานคนชั้นค่อยๆเปิดเผยบางส่วนของลักษณะของพวกเขาก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยต่อต้านจักรวรรดินิยมและศักดินาในความร่วมมือระยะยาวกับชนชั้นนายทุนระดับชาติกับการต่อสู้แต่ละน้อยหรือไม่มีเลยกับชนชั้นนายทุน ประสบการณ์และความตระหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นน้องของแรงงานที่มีการขาดความเข้าใจในระบบทุนนิยมและการต่อสู้เพื่อให้ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมใหม่เป็นสองส่วนใหญ่ของส่วนผสมที่ชาวนาและดังนั้นจึงมีความคิดชาวนามากขึ้นที่สามที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบการผลิตเพื่อว่าแรงงานบางคนได้ สมาคมจิตสำนึกและความตระหนักของกลุ่มเล็กและไม่กี่คนที่มีนิสัย lumpenproletariat ร่วมกับการเรียนที่มีอายุน้อยกว่าอายุความรู้ทางทฤษฎีเป็นปัจจัยที่ยากจนและอื่น ๆ การปฏิวัติสังคมนิยมของจีนและการก่อสร้างทางเศรษฐกิจพรรคการเมืองสำหรับการเรียนการทำงานและความจุขององค์กรทางสังคมและศักยภาพการบริหารจัดการเป็นแบบทดสอบที่ร้ายแรงมาก


แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสังคมของจีนระดับการทำงานเป็นความจุขององค์กรทั้งหมดและความสามารถในการบริหารจัดการยังอยู่ในช่วงที่ต่ำมากของการพัฒนา การปฏิวัติทางวัฒนธรรมในหลักคำสอนทาสทางเศรษฐกิจของลัทธิมาร์ก, อนาธิปไตยและอื่น ๆ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องในการ resorting พรรคความรุนแรงและทีมงานการโฆษณาชวนเชื่อของแรงงาน, ทีมที่ยากจนและประกาศคณะกรรมการการปฏิวัติของผู้แทนของฝูงเร็ว ๆ นี้จะถอนตัวออกจากยู่เหนือที่มีการพิสูจน์จากขั้วลบ นี้

สถานการณ์นี้เป็นเพียงการยุคของการปฏิรูปและการเปิดที่จะเริ่มต้นกับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ในคลื่นของอุตสาหกรรมใหม่ภายใต้ผลกระทบของโครงสร้างการทำงานชั้นเรียนภาษาจีนที่มีการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติของเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยผลิตและการพัฒนาของสังคมมนุษย์ในประวัติศาสตร์ของการกระโดดคุณภาพในคุณสมบัติ มันเครื่องหมายการทำงานร่วมกันของแรงงานมนุษย์จากการทำงานร่วมกันเผ่น จำกัด ให้สังคมทั้งสังคมของการผลิตจากที่ จำกัด ในการก้าวกระโดดทางสังคมเต็มรูปแบบ รูปแบบหลักของการใช้แรงงานมนุษย์ แต่ยังง่ายและเงอะงะตั้งแต่เริ่มต้นจากรูปแบบทางร่างกายจิตใจที่ค่อยๆเปลี่ยน ในขั้นตอนนี้ทั้งหมดที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยคุณสมบัติของสิ่งที่จะถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว คลาสที่ทำงานนอกเหนือไปจากความพยายามที่จะปรับให้เข้ากับมันไม่มีวิธีอื่น ๆ บนมืออื่น ๆ ที่ทำให้จำนวนของยุคทำสมาชิกของสังคมที่ : ความรู้พื้นฐานที่ทันสมัยแรงงาน -- -- การบริหารจัดการทางด้านเทคนิควิศวกรรมทางด้านเทคนิคและแรงงานเทคโนโลยี การเกิดขึ้นของชั้นนี้และเป็นหัวใจของสังคมที่จะช่วยเพิ่มความจุโดยรวมของระดับองค์กรทางสังคมการทำงานและการจัดการทางสังคมสำหรับสาเหตุสังคมนิยมของจีนได้นำความหวังใหม่


ปราสาทนครวัด

ปราสาทนครวัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ฝรั่งต่างชาติต่างยอมรับในความสวยงาม เราจะเห็นได้ว่า 5 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกล้วนแต่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา จะมีก็แต่เพียงปราสาทนครวัดและทัชมาฮาลเท่านั้นที่อยู่นอกประเทศทั้งสอง
ปราสาทนครวัด เป็นประสาทศิลาแลงขนาดใหญ่โตมโหฬาร ที่ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา จัดเป็นปราสาทศิลาขนาดใหญ่ที่ยังคงอยู่ ตระหง่านท้ากาลเวลานานหลายร้อยปี ผู้ที่สร้างนครวัดขึ้นมาเป็นพระองค์แรกคือพระเจ้าสุริยะวรมัน ที่ 2 โดยพระองค์มีพระประสงค์ที่จะยกพระฐานของกษัตริย์กัมพูชาให้เทียบเท่ากับเทพเจ้า ปราสาทนครวัดแห่งนี้จึงเป็นที่สถิตของพระวิษณุ เทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่งตามความเชื่อของชาวกัมพูชา และพระองค์ทรงใช้สถานที่แห่งนี้ในการเผาพระบรมศพของพระองค์
ต่อมาในยุคหลังกษัตริย์กัมพูชาองค์ต่อๆมา ได้ช่วยกันสานต่อเจตนาของบรรพบุรุษ มีการแต่งเติมและสิ่งก่อสร้างไปในแนวทางตามที่บรรพกษัตริย์ ในอดีตได้วางเอาไว้ ทำให้ชาวโลกมีโอกาสได้รับทราบถึงความเฉลียวฉลาดและความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของชาวกัมพูชา
ภายในบริเวณของตัวปราสาทจะรายล้อมไปด้วยอาคารต่างๆมากมาย มีถนนยาวหลายกิโลเมตร มีคูคลอง อ่างเก็บน้ำเอาไว้ใช้ภายในตัวอาคารและทางเดินเชื่อมจากอาคารหนึ่งไปยังอีกหลังหนึ่ง ความสามารถของชาวกัมพูชาใช่ว่าจะด้อยไปกว่าชาติอื่นๆในโลก เพราะมีการจัดสร้างคูคลองเชื่อมต่อกันหลายสายทำให้มองดูเหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ครอบตัวเมืองเอาไว้ ทั้งนี้เพราะในอดีตชีวิตของประชาชนจะอาศัยการเพาะปลูกเป็นหลักในการดำรงชีวิต น้ำจึงเป็นเสมือนปัจจัยหลักสำคัญที่ช่วยให้การเพาะปลูกและการดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยดี
นอกจากความสามารถในการออกแบบตัวอาคารและการเชื่อมโยงคูคลองต่างๆเข้าหากันแล้วนั้น ตัวปราสาทนครวัดก็เป็นโบราณสถานที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะการแกะสลักอันปราณีตของชาวกัมพูชาในอดีต บนศิลาจะเต็มไปด้วยภาพแกะสลักตามความเชื่อในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตของเทวดาและอสูรหรือการประกอบพิธีกรรมต่างๆในอดีต
เมื่อลองย้อนกลับไปดูในอดีต จะพบว่าในยุคหลังต่อมา พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 ได้สถาปนาเมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวง มีชื่อว่า ยโสธรปุระ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นยังไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรมากมายนัก แต่ต่อมาภายหลังพระองค์ทรงวางแผนที่จะขุดคูน้ำล้อมรอบพื้นที่ มีการขุดสระเพื่อทำเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการเกษตร และกษัตริย์ในรุ่นหลังๆก็ได้ปฏิบัติตามแนวพระราชดำริ ทำให้ตัวเมืองขยายใหญ่มากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดสังเกตุและเป็นที่ที่ทุกคนเข้าเยี่ยมชมจะต้องไปดูกันให้ได้ก็คือ ภาพใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนอาคาร ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "รอยยิ้มแห่งพระนคร"ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าปราสาทวัดจะเหลือไว้แค่ซากปรักหักพัง แต่ก็ยังไว้ซึ่งมนคลัง และมนเสน่ห์ที่ชวนให้คิดถึงความเจริญรุ่งเรืองในครั้งอดีตของสถานที่แห่งนี้อยู่มิรู้ลืม

คนไทยมาจากไหน?

ขณะนี้ไม่มีนักประติศาสตร์ท่านใดสามารถสรุปได้ว่าชนชาติไทยมาจากไหนกันแน่ แต่เท่าที่ค้นคว้ากันมา มีความเชื่อต่าง ๆ กันดังนี้
๑. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน ตรงลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงในตอนกลางของประเทศจีนปัจจุบัน แล้วค่อยอพยพมาทางตอนใต้ของจีน จากนั้นก็ลงมาสู่แหลมอินโดจีน ผู้เสนอความคิดนี้เป็นคนแรกก็คือ Terrien de la Couperie เขาเสนอผลงานเรื่อง The Cradle of the Shan Race (2428) คนไทยที่เชื่อตามทฤษฎีนี้มีหลายคน เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลวงวิจิตรวาทการ และรอง ศยามานนท์ เป็นต้น
๒. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณเทือกเขาอัลไต หมอสอนศาสนาชาวอเมริกันเป็นผู้เสนอความคิดนี้ เขาคือ William Clifton Dodd งานเขียนเรื่อง The Tai Race : The Eider Brother of the Chinese (2452) เป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวาง และมีอิทธิพลต่องานของ W.A.R. Wood ในเรื่อง A History of Siam และขุนวิจิตรมาตรา ในเรื่อง “หลักไทย”
๓. เดิมคนไทยอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในบริเวณทางตอนใต้ของจีนและทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนบริเวณแคว้นอัสสัมในอินเดีย ผู้ที่เสนอความคิดนี้ก็คือ ArchibaI R. Colguhoun เขาเป็นชาวอังกฤษ เดินทางสำรวจดินแดนตั้งแต่ทางภาคใต้ของจีนจากกวางตุ้งเข้าไปในพม่า จากนั้นเขาก็เขียนหนังสือเรื่อง Chryse (2428) ต่อมาความคิดนี้ได้รับความสนใจนำไปค้นคว้าต่อ คนสำคัญที่นำความคิดนี้ไปขยายต่อก็มีเช่น E.H. Parker เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องน่านเจ้าพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ผู้เขียนพงศาวดารโยนกก็เชื่อว่า คนไทยมาจากทางตอนใต้ของจีน นอกจากนี้ยังมีคนอื่น ๆ เช่น G. Coedes W. Credner W. Eberhard F. Mote ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ขจร สุขพานิช และจิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนทำวิทยานิพนธ์ปริณญาเอกทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะที่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการอพยพของชนชาติไทย เขาคือ H.W. Woodward นักประวัติศาสตร์ผู้นี้เชื่อว่าแนวทางอพยพของคนไทยอาจมาทางลาวและลุ่มแม่น้ำป่าสักลงสู่ภาคกลางของประเทศไทย
๔. คนไทยไม่ได้มาจากไหน แต่ถิ่นเดิมของคนไทยก็คือบริเวณพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบัน นักวิชาการที่เสนอความคิดนี้ก็คือ PauI Benedict นักภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เขาค้นคว้าเรื่องชนชาติไทยโดยใช้หลักฐานด้านภาษาศาสตร์ จากการค้นคว้าทำให้เขาเชื่อว่าภาษาไทยเป็นภาษาใหญ่ของชนชาติเอเชีย อยู่ในตระกูลออสตริก หรือออสโตรนีเซียน แยกสาขาเป็นพวกไทย ชวา-มลายู และทิเบต-พม่า ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของคนไทยจึงไม่น่าจะเป็นพวกมองโกล แต่น่าจะเป็นพวกชวา-มลายู ประมาณ ๔,๐๐๐-๓,๕๐๐ ปี การรุกรานของพวกมอญ เขมร จากอินเดีย เข้ามาในแหลมอินโดจีน น่าจะเป็นเหตุทำให้คนไทยขึ้นไปทางใต้ของจีน แต่เมื่อถูกจีนรุกรานก็ต้องถอยร่นไปในเขตแคว้นอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และบริเวณตังเกี๋ยหรือบริเวณเวียดนามเหนือปัจจุบัน นักวิชาการที่สนับสนุนความคิดนี้ก็มี นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้ค้นคว้าโดยอาศัยหลักฐานจากการเปรียบเทียบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหินที่ขุดค้นพบในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี
๕. เดิมคนไทยอยู่ในบริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเชียก่อน แล้วต่อมาก็อพยพเข้าสู่บริเวณประเทศไทยปัจจุบัน ความคิดนี้ค่อนข้างใหม่มาก ผู้เสนอคือ สมศักดิ์ สุวรรณสมบูรณ์ เขาใช้หลักฐานทางด้านการแพทย์ คือการสุ่มตัวอย่างกลุ่มเลือดของคนไทยกับอินโดจีนปัจจุบัน ปรากฏว่ามีความคล้ายคลึงกัน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า ปัญหาเรื่องความเป็นมาของคนไทยก่อนสมัยประวัติศาสตร์ยังไม่ยุติ แต่เท่าที่เราสามารถยึดถือได้ชั่วคราวก็คือความเชื่อของนักวิชาการที่ได้รับความนิยมในข้อ ๒ และ ๓ นั่นคือคนไทยอพยพจากถิ่นอื่นเข้ามาในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และแนวการอพยพเป็นแนวเหนือลงมาทางใต้ กระจัดกระจายตามบริเวณที่ใกล้เคียงกันทางตอนใต้ของจีน เช่น ตามบริเวณมณฑลเสฉวน ยูนนาน แคว้นอัสสัม ฉาน ตอนเหนือของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา เป็นต้นส่วนความเชื่อในข้อ ๔ และ ๕ นับว่าค่อนข้างใหม่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับหรือมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อความเข้าใจของคนไทยในด้านความเป็นมาของตนเอง อย่างไรก็ดี สำหรับความเชื่อในข้อ ๔ กำลังเป็นที่ยอมรับและเป็นที่สนใจมากขึ้นในปัจจุบัน

2011年9月11日星期日

นครวัด


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นครวัด (เขมรអង្គរវត្ត) เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา
ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง
ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี

รูปสลักและงานประติมากรรม



ทางด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทนั้น มีความยาวกว่า 800 เมตร มีงานแกะสลักเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่อง รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดก็คือรูปที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ และยังมีรูปแกะสลักนางอัปสรอีกถึง 1,635 นาง หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาทนครวัดที่ทั้งหมดแต่งกายและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย

มีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยาม ที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจามมีอักษรจารึกไว้ว่า “สยำ กุก” ปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้วน่าจะหมายถึงกองทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก คือกำลังที่มาจากเมืองเชียงราย เมืองเชียงแสนหรือจาก[สุพรรณบุรี และคำว่า “ โลว” สันนิษฐานว่าเป็นกองทัพจากเมืองละโว้ [1]



2011年7月19日星期二

อุทยานประวัติศาสตร์ของไทย




           การอนุรักษ์ บูรณะและพัฒนาแหล่งโบราณวัตถุสถานที่สำคัญของชาติ ได้มีการดำเนินการเป็นลำดับ ในความรับผิดชอบของกรมศิลปากร อย่างไรก็ตามความต่อเนื่องจริงจังอย่างเห็นได้ชัดนั้นเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เริ่มตั้งแต่การขุดแต่ง บูรณะ ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน จนถึงประกาศเป็นเขตอุทยานประวัติศาสตร์ ซึ่งเริ่มที่จังหวัดอยุธยาก่อน แล้วจึงแพร่ขยายออกไปทั่วประเทศ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้มีโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ ตามแหล่งโบราณสถานที่สำคัญๆ ทั่วประเทศ รวม ๙ แห่ง ด้วยกัน คือ
                             

           ๑. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

           ๒. อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย

           ๓. อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

           ๔. อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ

            ๕. อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย

           ๖. อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง

           ๗. อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์

           ๘. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

           ๙. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี 

           พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมกษัตริยราชวงศ์พระร่วงได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย อันมีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๐๐ และได้สืบสันตติวงศ์ต่อมาอีก ๕ พระองค์ คือ พ่อขุนบาลเมือง พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พญาเลอไทย พญาลิไทย พญาไสลือไทย จนถึงปี พ.ศ. ๑๙๒๑ จากนั้นกรุงสุโขทัยก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรศรีอยุธยา กษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงอีก ๒ พระองค์ จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าเมืองขึ้น 
           ภายในเมืองสุโขทัยประกอบด้วยส่วนที่เป็นพระราชวัง และศาสนสถานที่สำคัญ ๆ มีคูเมืองและกำแพงเมืองล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส นอกกำแพงเมืองออกไปโดยรอบทั้งสี่ด้าน มีโบราณสถานต่าง ๆ ตั้งอยู่อีกเป็นจำนวนมาก รวมพื้นที่ที่ครอบคลุมโบราณสถานของเมืองสุโขทัยทั้งหมด มีประมาณ ๔๐,๐๐๐ ไร่
                                              
           บรรดาศิลปกรรมและสถาบัตยกรรมอันงามสง่าของเมืองสุโขทัย แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจ อย่างไม่มีอาณาจักรใดในสุวรรณภูมิในยุคนั้นมาเทียบเทียมได้ นับเป็นมรดกอันล้ำค่าของไทยที่มีค่าควรแก่ความภาคภูมิใจของชาวไทยและแก่มนุษยชาติ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ตระหนักถึงคุณค่าดังกล่าว จึงได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็น "มรดกโลก" เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕

           พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงอาราธนา พระภิกษุสงฆ์จากนครศรีธรรมราชเข้ามาจำพรรษา ณ กรุงสุโขทัย เพื่อเผยแพร่พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ในอาณาจักรสุโขทัย

           ในสมัยสุโขทัยนิยมสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เป็นประธานของพุทธสถาน ด้านหน้ามีวิหารโถง สร้างติดกันไว้เรียกว่าวิหารหลวง ลักษณะทางสถาบัตยกรรมของยุคนี้คือ รูปแบบของเจดีย์จะมียอดทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือทรงดอกบัวตูม 

                        เมืองศรีสัชนาลัยเป็นเมืองเก่า รุ่นราวคราวเดียวกับกรุงสุโขทัย มีศักดิ์เป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรสุโขทัย ตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำยมตรงแก่งหลวง เดิมชื่อเมืองชะเลียง ซึ่งอยู่ใต้เมืองศรีสัชนาลัยลงไปเล็กน้อย บริเวณที่ตั้งวัดมหาธาตุในปัจจุบัน ชื่อเมืองชะเลียงนี้ ปรากฎครั้งแรกในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๓๕ สันนิษฐานว่าเมืองชะเลียงนี้มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จึงได้มาสร้างเมืองศรีสัชนาลัย ณ บริเวณที่ตั้งปัจจุบัน ในศิลาจารึกมักจะเรียกรวมกันว่าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย
เมืองศรีสัชนาลัยเสื่อมลงประมาณปี พ.ศ. ๑๙๔๖ ครั้นล่วงมาถึงปี พ.ศ. ๒๐๑๗ ชื่อเมืองนี้ก็ได้หายไปจากพงศาวดาร และในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เรียกเมืองนี้ว่าสวรรคโลก
เมืองศรีสัชนาลัยเป็นเมือง ๓ ชั้น มีกำแพงล้อมรอบ ชั้นในสุดก่อด้วยศิลาแลง กำแพงชั้นกลางและชั้นนอกเป็นกำแพงดิน บรรดาโบราณสถานต่าง ๆ ตั้งอยู่กระจัดกระจายทั่วไปในกำแพงเมืองและนอกกำแพงเมือง
วัดพระศรีมหาธาตุ
            วัดนี้ชาวบ้านเรียกว่าวัดพระปรางค์ เนื่องจากมีพระปรางค์องค์ใหญ่สร้างด้วยศิลาแลง มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของตัวเมืองเก่าศรีสัชนาลัย 
วัดช้างล้อม
            เป็นวัดใหญ่และสำคัญของเมืองศรีสัชนาลัย มีเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่เป็นหลักของวัด ที่ฐานเจดีย์มีช้างปูนปั้นประดับรายล้อมอยู่โดยรอบมีทั้งหมด ๓๙ เชือก สันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงสร้างวัดนี้
วัดเจดีย์เจ็ดแถว
             อยู่ตรงข้ามกับวัดช้างล้อม นับเป็นวัดใหญ่อีกวัดหนึ่งของเมืองศรีสัชนาลัย มีกำแพงศิลาแลงล้อมอยู่โดยรอบ มีพระเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ตั้งอยู่บริเวณกลางวัด รอบเจดีย์องค์นี้มีเจดีย์ใหญ่น้อยประดับซุ้มพระแบบต่าง ๆ อีก ๓๓ องค์ เป็นภาพที่น่าชมอย่างยิ่ง 


วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่


          ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดเจดีย์เจ็ดแถว มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ มีเจดีย์ทรงลังกาตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส ซึ่งแปลกตาไปจากเจดีย์ทรงลังกาโดยทั่วไป
วัดสวนแก้วอุทยานน้อย
             เรียกกันว่าวัดสระแก้ว มีพระเจดีย์รูปทรงข้าวบิณฑ์เป็นหลักของวัด ด้านหน้ามีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป ทางด้านทิศตะวันตกมีสระน้ำอยู่สระหนึ่ง สันนิษฐานว่าวัดนี้คือ วัดแก้วราชประดิษฐาน ซึ่งมีกล่าวถึงในพงศาวดารเมืองเหนือ
วัดนางพญา
               เป็นวัดที่มีลายปูนปั้นงดงามมาก มีพระเจดีย์ทรงลังกาเป็นหลักของวัด มีซากฐานโบสถ์และวิหาร ๑ ห้อง ซึ่งยังเหลือผนังด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ด้านหนึ่ง บนผนังนี้มีลายปูนปั้นที่งดงามดังกล่าว
วัดเขาพนมเพลิง
             เขาพนมเพลิงเป็นภูเขาลูกเดียวที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองศรีสัชนาลัย บนยอดเขาลูกนี้มีวัดอยู่สองวัดสำหรับวัดเขาพนมเพลิง เราจะแลเห็นพระเจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ด้านหลังมีซุ้มพระชาวบ้านเรียกว่า ศาลเจ้าแม่ละอองสำลี เป็นที่เคารพนับถือของชาวเมือง

ชาวต่างประเทศที่ได้มาเห็นอยุธยาในครั้งนั้นได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระราชวังไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๒๓๓ พอประมวลได้ดังนี้ ในอยุธยาสมัยนั้นมีพระราชวังอยู่ ๓ แห่ง คือ แห่งแรกพระราชวังที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนทรงสร้างไว้ ตั้งอยู่ค่อนไปทางกลางพระนคร ประกอบด้วยพื้นที่สี่เหลี่ยมใหญ่, ปันเป็นส่วน, มีตำหนักเป็นอันมาก ทำเป็นหลังคาหลายชั้นตามแบบสถาปัตยกรรมจีน ด้านหน้าปิดทองตลอด ภายในกำแพงพระราชวัง และภายนอกมีโรงช้างยาวเหยียด มีช้างผูกเครื่องลายวิจิตรอยู่ร้อยกว่าเชือก พระราชวังแห่งที่สอง เรียกว่า วังหลวง อยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมือง พื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกัน แต่ไม่ใหญ่เท่าพระราชวังแห่งแรก เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน แต่ในขณะนั้นให้เป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช ส่วนพระราชวังแห่งที่ ๓ เล็กกว่าสองแห่งที่กล่าวแล้ว เป็นที่อยู่ของเจ้ากรมช้างต้น มีเจ้าในราชวงศ์ประทับอยู่ องค์หนึ่งเป็นเจ้ากรมช้างต้น เป็นควาญ และผู้จัดแจงช้างต้นสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน

2011年7月18日星期一

เจิ้งเหอ





เจิ้งเหอ (จีนตัวเต็ม郑和พินอินZhèng Hé ; แต้จิ๋ว: แต้ฮั้ว) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือจีนในยุคราชวงศ์หมิง (明 ; Ming)
มีบันทึกว่าเจิ้งเหอเริ่มเดินทางรอบโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1421 และเคยติดต่อกับอาณาจักรอยุธยาด้วย มีผู้เสนอทฤษฎีว่า เจิ้งเหอน่าจะค้นพบทวีปอเมริกาก่อนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส โดยไม่มีหลักฐานใดๆมายืนยันได้ชัดเจนเลยว่าเจิ้งเหอเคยเดินทางผ่านแอฟริกาใต้ หรือ อเมริกา เจิ้งเหออาจเป็นแค่ทฤษฏีที่ฝรั่งบางคนคิดขึ้นมาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองเท่านั้น
ประวัติ:

เดิมทีนั้นเจิ้งเหอมีชื่อว่า "ซานเป่า" แซ่หม่า เกิดที่มณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นเขตแดนของมองโกลทางตอนใต้ของประเทศจีน เมื่อปี ค.ศ. 1371 มีชื่อมุสลิมเป็นภาษาอาหรับว่า มูฮัมมัด อับดุลญับบารฺ เกิดในตระกูลขุนนางมุสลิม เซมูร์ และเป็นลูกหลานชนชั้นที่หกของ ซัยยิด อัจญาล ชัมสุดดีน อุมัร ผู้ปกครองมณฑลยูนนานผู้ลือนาม จากบุคอรอ ในอุซเบกิสถาน แซ่หม่า มาจาก มาสูฮฺ (มาสีหฺ) บุครคนที่ 5 ของ ซัยยิด อัจญาล ชัมสุดดีน อุมัร บิดาของเจิ้งเหอมีนามว่า มีร ตะกีน และปู่มีนามว่า กะรอมุดดีน ได้ไปทำพิธีฮัจญ์ในมักกะหฺ จึงได้พบเห็นผู้คนจากทุกสารทิศ และต้องเล่าเรื่องนี้ให้แก่เจิ้งเหออย่างแน่นอน
แต่ก่อนแซ่หม่าเรียกว่าหม่าเหอ เจิ้งเหอมีพี่น้อง 5 คนเป็นชาย 1 คน หญิง 4 คน เมื่อหม่าเหออายุได้ 12 ปี ตรงกับช่วงที่กองทัพของจักรพรรดิหงหวู่หรือจูหยวนจาง ปฐมราชวงศ์หมิงนำกำลังทัพเข้ามาขับไล่พวกมองโกลที่มาตั้งราชวงศ์หยวนออกจากประเทศจีน ทำการยึดครองยูนานเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรหมิงได้สำเร็จ ในเวลานั้นหม่าเหอได้ถูกจับตอนเป็นขันทีมีหน้าที่รับใช้เจ้าชายจูตี้ จนได้รับความไว้วางใจอย่างสูง ช่วงสงครามแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างเอี้ยนหวังจูตี้กับหมิงฮุ่ยตี้ กษัตริย์ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากหมิงไท่จู่ เจิ้งเหอมีส่วนสำคัญช่วยให้จูตี้ได้รับชัยชนะขึ้นสู่บัลลังก์เป็นจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่มีชื่อรัชกาลว่า "หย่งเล่อ" และได้รับการสนับสนุนเป็นหัวหน้าขันที ต่อมาได้รับพระราชทานแซ่เจิ้ง จึงเรียกขานว่า "เจิ้งเหอ" แต่ชื่อที่รู้จักกันดีก็คือ "ซันเป่ากง" หรือ "ซำปอกง" (三寶公/三宝公).
การเดินทางสำรวจ:
การเดินเรือสำรวจทางทะเลในระยะเวลา 28 ปี กองเรือของเจิ้งเหอออกสำรวจทางทะเลรวม 7 ครั้ง เดินทางมากกว่า 50,000 กิโลเมตร ท่องต่างแดนมากกว่า 37 ประเทศ เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1405 (พ.ศ. 1948) ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราชแห่งราชวงศ์อู่ทองปกครองกรุงศรีอยุธยา เจิ้งเหอทำหน้าที่ผู้บังคับกองเรือสำเภาขนาดใหญ่ เรียกว่า "เป่าฉวน" แปลว่า "เรือมหาสมบัติ" ต่อขึ้นที่เมืองนานกิง อดีตเมืองหลวงอันเก่าแก่ของจีนเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของ "อู่ต่อเรือ" ใช้ในการเดินเรือของเจิ้งเหอ เรือมหาสมบัติของเจิ้งเหอยาว 400 ฟุต ขนาดใหญ่กว่าเรือ ซานตา มาเรีย ของโคลัมบัสที่ยาวเพียง 85 ฟุต ถึง 5 เท่า
การเดินทะเลในครั้งแรกมีเรือขนาดใหญ่ตามไปด้วย 60 ลำ ขนาดเล็ก 255 ลำ มีลูกเรือทั้งหมด 27,870 คน แล่นเลียบชายฝั่งฟุเกี้ยน ผ่านไปยังอาณาจักรจามปา ชวา มะละกา สมุทรา (เซมูเดรา) และแลมบรีทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา จากนั้นเดินทางต่อไปยังเกาะลังกา กาลิกัต ขากลับได้นำคณะทูตจากเมืองเหล่านี้มาเข้าเฝ้าฯ จักรพรรดิหย่งเล่อ
ในการเดินเรือแต่ละครั้ง ขากลับจะนำเครื่องบรรณาการจากเมืองต่าง ๆ มาถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ โดยเฉพาะสัตว์จากหลาย ๆ เมืองที่ผ่าน อย่างเช่นขากลับจากการเดินเรือทางทะเลในครั้งที่ 5 เจิ้งเหอได้นำสิงโต เสือดาว นกกระจอกเทศ ม้าลาย และยีราฟ (โดยบอกว่าเป็น กิเลน) กลับไปถวายแด่จักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมาก และกลายเป็นของแปลกและน่าตื่นเต้นสำหรับชาวจีนที่พบเห็นเป็นครั้งแรก
ต้นปีถัดมาเจิ้งเหอก็เริ่มออกเดินทางในครั้งที่ 2 เวลานั้นอายุ 36 ปี ครั้งที่ 3 อายุ 38 ปี ครั้งที่ 4 อายุ 42 ปี ครั้งที่ 5 อายุ 46 ปี ครั้งที่ 6 อายุ 50 ปี ครั้งที่ 7 อายุ 60 ปี โดยครั้งสุดท้ายมีจำนวนลูกเรือ 27,550 คน ไปไกลถึงทวีปแอฟริกา
เจิ้งเหอได้เข้าเยี่ยมสุสานศาสนทูตมุฮัมมัดในมะดีนะหฺและประกอบพิธีฮัจญ์ในมักกะหฺ นอกจากนั้นเจิ้งเหอได้ผ่านเข้าไปในเปอร์เซีย อ่าวเปอร์เซีย อารเบีย ทะเลแดง และอียิปต์
ภายหลังการเดินเรือทางทะเลในครั้งที่ 7 สิ้นสุดลง จากนั้นจีนก็หยุดดำเนินการสำรวจทางทะเล ส่วนเจิ้งเหอเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1432 ที่อินเดีย แต่มีการสร้างหลุมฝังศพจำลองของเขาอยู่บนภูเขาในเมืองนานกิง ไม่มีศพอยู่ในนั้น มีเพียงเส้นผมและเสื้อผ้าที่เคยใช้เท่านั้น ก่อสร้างตามแบบประเพณีมุสลิม เรียกว่า เจิ้งเหอมู่ หรือ สุสานเจิ้งเหอ ซึ่งได้รับการบูรณะใหม่ในปี ค.ศ. 1985 บนสุสานมีคำว่า อัลลอหุ อักบัรแปลว่า อัลลอหฺใหญ่ยิ่ง
อ้างอิง:
  • Deng, Gang (2005). Chinese Maritime Activities and Socioeconomic Development, c. 2100 BC - 1900 AD. Greenwood Press. ISBN 0-313-29212-4.
  • Dreyer, Edward L. (2006). Zheng He: China and the Oceans in the Early Ming, 1405–1433 (Library of World Biography Series). Longman. ISBN 0-321-08443-8.
  • Levathes, Louise (1997). When China Ruled the Seas: The Treasure Fleet of the Dragon Throne, 1405–1433. Oxford University Press, trade paperback. ISBN 0-19-511207-5.
  • Mills, J. V. G. (1970). Ying-yai Sheng-lan, The Overall Survey of the Ocean's Shores (1433), translated from the Chinese text edited by Feng Ch'eng Chun with introduction, notes and appendices by J. V. G. Mills. White Lotus Press. Reprinted 1970, 1997. ISBN 974-8496-78-3.
  • Ming-Yang, Dr Su. 2004 Seven Epic Voyages of Zheng He in Ming China (1405–1433)
  • Viviano, Frank (2005). "China's Great Armada." National Geographic, 208(1):28–53, July.
  • Joseph Kahn: China Has an Ancient Mariner to Tell You About. In The New York Times of 2005-7-20.
  • Newsletter, in Chinese, on academic research on the Zheng He voyages
  • Cummins, Joseph (2006). History's Great Untold Stories. Murdoch Books. ISBN 1-74045-808-7.
  • Shipping News: Zheng He's Sexcentenary - China Heritage Newsletter, June 2005, ISSN 1833-8461. Published by the China Heritage Project of The Australian National University.

2011年7月13日星期三

ตำนานจามเทวีวงศ์

ตำนานจามเทวีวงศ์



พระบรมนามาภิไธยนางวี
พระปรมาภิไธยพระนางเจ้าจามเทวี บรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ ปิ่นธานีหริภุญชัย
พระอิสริยยศพระกษัตรีย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย
ราชวงศ์หริภุญชัย
ระยะครองราชย์พ.ศ. 1205 – พ.ศ. 1212 (7 ปี) บ้างว่า พ.ศ. 1205 - พ.ศ. 1222 (17 ปี) บ้างว่า พ.ศ. 1202 - พ.ศ. 1231 (29 ปี)
รัชกาลก่อนหน้าไม่มี
รัชกาลถัดไปพระเจ้ามหันตยศ


ชาติภูมิ
ชาติกำเนิดของพระองค์นั้น ในตำนานจามเทวีวงศ์และตำนานมูลศาสนากล่าวว่าทรงเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ แต่ตำนานมุขปาฐะพื้นบ้านแห่งหนึ่งกล่าวว่า พระองค์เป็นธิดาของคหบดีชาวหริภุญชัยซึ่งมีเชื้อสายชาวเมง (ตำนานเรียกว่า เมงคบุตร) อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนองดู่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน พระนางจามเทวีเมื่อแรกประสูติไว้ว่าตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง พ.ศ. 1176 เวลาจวนจะค่ำ ขณะเมื่อพระนางยังมีพระชนม์ได้ 3 เดือนนั้น มีนกยักษ์ตัวหนึ่งโฉบเอาพระนางขึ้นไปบนฟ้า เมื่อนกนั้นบินผ่านหน้าสุเทวฤๅซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ ณ เขาอุจฉุตบรรพต (แปลว่าเขาไร่อ้อย เชื่อว่าคือดอยสุเทพในปัจจุบัน) ท่านจึงได้แผ่เมตตาจิตให้นกนั้นปล่อยทารกน้อยลงมา แล้วรับเอาเด็กนั้นเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมทั้งตั้งชื่อให้ว่า นางวี ด้วยถือเอานิมิตที่พระฤๅษีใช้พัด (ภาษาถิ่นเรียกว่า "วี") รองรับพระนางเนื่องจากพระฤๅษีอยู่ในสมณเพศ ไม่อาจถูกตัวสตรีได้ ต่อมาพระนางได้ร่ำเรียนสรรพวิชาการต่างๆ จากสุเทวฤๅษี
ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่ากุมารีผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านจะมีวาสนาเป็นถึงจอมกษัตริย์ ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า จึงตกลงใจว่าจะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเพื่อรับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ ราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในสุวรรณภูมิเวลานั้น[2]
จนกระทั่งเมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้เนรมิตแพขึ้น ส่งกุมารีน้อยล่องไปตามน้ำจากเมืองเหนือ โดยพญากากะวานรและบริวารจำนวน ๓๕ ตัวโดยสารแพไปด้วย อีกทั้งยังฝากหนังสือไปฉบับหนึ่งเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงละโว้ (ลวปุระ) ว่ากุมารีน้อยนี้จะไปช่วยละโว้ประหารศัตรู เด็กหญิงและวานรทั้งหลายล่องตามลำน้ำไปเป็นเวลานานหลายเดือนจึงเข้าสู่เขตกรุงละโว้ ประชาชนชาวละโว้สองฝั่งลำน้ำได้โจษขานถึงแพเล็กๆ นี้ด้วยความประหลาดใจครั้นถึงท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคล แพเนรมิตก็มิได้ล่องตามน้ำต่อไปกลับลอยวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ประชาพลเมืองได้เห็นต่างโจษขานกันอึงคนึง บ้างก็เข้าไปพยายามดึงนาวาเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ชาวบ้านเห็นเหตุเป็นอัศจรรย์และต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงซึ่งมีผิวพรรณผุดผ่องน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ความทราบถึงบรรดาขุนนาง จึงได้ไปตรวจดูที่ฝั่งน้ำ เห็นความจริงประจักษ์แก่ตาจึงรีบกลับเข้าพระราชวังกราบบังคมทูล พระเจ้าจักวัติ ผู้ครองกรุงละโว้ ให้ทรงทราบทันที
เจ้าแผ่นดินกรุงลวปุระได้เสด็จไปยังท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคลพร้อมด้วยมเหสีในทันทีนั้น เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปทั้งหมด พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทหารที่ตามเสด็จชะลอแพเนรมิตเข้าสู่ฝั่ง แต่เหตุการณ์อันไม่มีใครคาดคิดก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กำลังของเหล่าทหารแห่งกรุงลวปุระไม่อาจชักลากแพเข้าสู่ท่าน้ำได้ ไม่ว่ากษัตริย์จะมีพระบัญชาให้เพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นสักเท่าใดก็ตาม การณ์อันเป็นไปโดยอัศจรรย์ดังนี้ ทำให้เจ้าแผ่นดินทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า กุมารีแรกรุ่นในท่ามกลางฝูงวานรบนแพนี้คงจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากมาย และแพนั้นก็คงจะเป็นแพวิเศษที่สามัญชนจะไปแตะต้องมิได้ พระองค์จึงเสด็จจากที่ประทับพร้อมด้วยพระมเหสีและทรงยึดเชือกที่ผูกแพนั้นไว้ด้วยพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์
และแล้วเหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกเป็นคำรบสาม พระเจ้ากรุงลวปุระและพระมเหสีเพียงแต่ทรงชักเชือกนั้นด้วยแรงเฉพาะสองพระองค์ แพวิเศษก็ลอยเข้าสู่ท่าน้ำได้โดยง่าย และดูราวกับเทพยดาฟ้าดินจะทรงอำนวยพรให้แก่ประพฤติเหตุอันอัศจรรย์นี้ เพราะเมื่อแพวิเศษลอยเข้าเทียบท่าน้ำ ได้มีฝนโปรยปรายเป็นละอองบางเบา ยังความสดชื่นแก่ทุกคนในที่นั้น ประชาชนทั้งสองฝั่งลำน้ำได้เห็นต่างก็พากันชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และสรรเสริญบุญญานุภาพของกุมารีน้อยไปทั่วทั้งพระนคร
พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีได้รับกุมารีน้อยไว้ด้วยความเสน่หาอย่างยิ่ง พระมเหสีนั้นถึงกับเสด็จเข้าไปสวมกอดและจุมพิตกุมารีตั้งแต่แรกขึ้นสู่ฝั่ง พระเจ้ากรุงละโว้ผู้เต็มไปด้วยความปิติในพระหฤทัยได้ทรงน้ำกุมารีผู้น่ารักขึ้นประทับบนราชรถ และต่างพากันเสด็จเข้าสู่ราชสำนักกรุงละโว้ท่ามกลางประชาชนที่มาเฝ้าชมพระบารมีสองข้างทางด้วยความชื่นชมยินดีโดยทั่วหน้าและได้ตั้งพระนามให้ใหม่ว่า พระนางจามเทวี